กล้องมีกี่ประเภท
กล้องดิจิตอลมีมากมายหลายประเภทครับ แต่ถ้ายกเฉพาะที่ใช้กันแพร่หลายก็มีอยู่ 4 ประเภทครับ
1.กล้องคอมแพค (Compact)
2.กล้อง DSLR
3.กล้อง DSLR-Like
4.กล้อง Mirrorless เช่น Micro 4/3
1.กล้องคอมแพค
กล้องประเภทนี้ หมายความรวมๆว่า "พกพาสะดวก" ฉะนั้น กล้องเล็กๆบางๆ หยิบพกสะดวก ก็เรียกว่าเป็นคอมแพคได้ทั้งนั้นล่ะครับ
ส่วนใหญ่ถ่ายภาพออกมาชัดเจนพอจะล้างรูปขนาดจัมโบ้ได้ (4x6 นิ้ว) ... แต่ถ้ามากกว่านั้นความละเอียดก็จะลดลงตามลำดับ
ราคาหลากหลาย มีตั้งแต่ถูกๆ ไม่แพงมาก และแพง ^ ^"
2.กล้อง DSLR (Digital Single Lens Reflex)
ถ้าแปลความหมาย จะแปลว่ากล้องสะท้อนเลนส์เดี่ยวแบบดิจิตอล ... แต่อย่าไปจำดีกว่า
จำง่ายๆว่า "กล้องตัวดำๆใหญ่ๆ เปลี่ยนเลนส์ได้" ก็พอครับ ^ ^ (กล้องที่ไม่ดำ ไม่ใหญ่ เปลี่ยนเลนส์ได้ แต่เป็น DSLR ก็มีนะ ^ ^) ส่วนใหญ่ถ่ายภาพได้คมชัดกว่าคอมแพคและมีลูกเล่น ปรับโน่นปรับนี่ได้เยอะครับ
ส่วนใหญ่พวกมืออาชีพ หรือคนที่ต้องการภาพที่สวยๆ จะใช้กล้องประเภทนี้กันครับ
ราคาเมื่อเทียบกับคอมแพคก็มักจะแพงกว่า ถูกสุดก็ 1.5 หมื่นขึ้นไปครับ
3.กล้อง DSLR-Like
กล้องนี้เป็นกล้อง "เหมือน DSLR" แต่ไม่ใช่ DSLR น่ะครับ
คุณภาพกล้องสูสีกว่าคอมแพค บ้างก็ดีกว่า แต่ยังไม่เท่า DSLR ... เพียงแต่ปรับแต่งได้เยอะใกล้เคียง DSLR แต่ถอดเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้
มีลักษณะดำๆใหญ่ๆเหมือนกับ DSLR
ราคาใกล้เคียงคอมแพครุ่นกลางๆ-รุ่นแพงๆ เหมาะกับคนที่ต้องการภาพที่ดีในระดับโอเคกว่าคอมแพค และไม่ต้องการพกอุปกรณ์เยอะแยะไปกว่ากล้องตัวใหญ่ๆตัวหนึ่ง
4.กล้อง Mirrorless เช่น Micro 4/3 หรือ Sony E-mount
ไม่แน่ใจว่ากล้องประเภทนี้จะก้าวเข้าสู่ตลาดกล้องได้ดีแค่ไหน แต่ ณ ปัจจุบันนี้ก็เปิดตัวได้แรงพอดู
เป็นกล้องแบบเดียวกับ DSLR ต่างกันตรงไม่มีเลนส์สะท้อนเท่านั้นเอง ทำให้มีขนาดที่เล็กกว่า DSLR มาก ได้เปรียบเรื่องการพกพาที่ใกล้เคียงคอมแพค
คุณภาพไฟล์รูปเท่าๆกับ DSLR (DSLR รุ่นล่างๆ-รุ่นกลางๆ) ... แต่ส่วนใหญ่จะบ่นๆกันเรื่องที่มันจับถือและปรับแต่งไม่ถนัดแบบ DSLR
วิธีเลือกซื้อกล้องดิจิตอล
งบประมาณ ก่อนอื่นต้องมาดูกันว่า คุณจะตั้งงบไว้สักเท่าใด ในการหาซื้อกล้อง ดิจิตอลสักตัว เพราะราคาในตลาดมีตั้งแต่กล้องแบบง่ายๆ ราคาไม่กี่พันบาท ซึ่งทำ อะไรไม่ได้มากนัก ที่พอใช้ได้จะเริ่มจากหมื่นต้นๆ ไล่เรียงลำดับไปตามสเปค และ คุณภาพที่ดีขึ้น จนถึงหลักแสนหรือหลายๆ แสน เมื่อตั้งงบไว้แล้วเช่น สองหมื่นบาท ก็มองหาเฉพาะกล้องที่อยู่ในงบของเรา รุ่นที่มีราคาสูงกว่า คงไม่ต้องนำมาพิจารณา ให้ปวดหัว
เซ็นเซอร์ภาพ ถ้าดูตามสเปคมักจะ เขียนว่า Image sensor หรือ Image recording พูดง่ายๆ ก็คือ อุปกรณ์ ที่ใช้รับภาพแทนฟิล์มนั่นเอง บางยี่ห้อใช้ CMOS แต่ส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดใช้ CCD ขนาดใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แต่ใหญ่กว่าย่อมได้เปรียบ เพราะเก็บรายละเอียดได้มาก แต่ราคาก็แพงกว่า อาจจะดูจากสเปคว่าใช้ CCD ขนาดเท่าใดเช่น 1/1.8 นิ้ว, 1/2.7 นิ้ว หรือ 2/3 นิ้ว (วัดตามแนวทแยงมุม)
ความลึกของสี หรือ Bit Depth บางทีก็เรียก Color Depth ยิ่งมีความลึกของสีมากเท่าใด ก็จะเก็บรายละเอียด ของเฉดสีได้ดีมากขึ้น เช่น 10 บิต/ สี หรือ 12 บิต/สี หมายความว่า สีธรรมชาติ มี 3 สีคือ RGB ถ้า 1 สี แสดงได้ 13 บิต 3 สีก็จะได้ 36 บิต เป็นต้น ถ้าเป็นกล้องระดับไฮเอนด์ อาจจะทำได้ถึง 16 บิต/สี หรือ 48 บิตที่ RGB นั่นก็เทียบเท่ากับฟิล์ม สไลด์ดีๆ นี่เอง แต่ไม่รู้ว่าทำไมมีกล้องบาง ยี่ห้อ บางรุ่นเท่านั้น ที่เปิดเผยว่ากล้องของตัวเอง มีระดับความลึกของสีเท่าใด ยิ่งถ้าเป็นกล้องที่สเปคต่ำเช่น 8 บิต/สี (อันที่จริงก็เยอะแล้ว เพราะ จะได้ 24 บิตที่ RGB แสดงสีได้ 16.7 ล้านเฉดสี) แทบไม่อยากจะพูดถึงกันเลย แต่ถ้ากล้องระดับโปร มักจะโชว์ตัวเลขให้เห็นจะๆ เลยว่าใครได้มากกว่ากัน การที่เฉดสีน้อย จะทำให้การแยกสีไม่ดีเท่าที่ควร เช่น กลีบดอกไม้สีแดงเข้ม แดงปานกลางและแดงอ่อน ดูด้วยตาเปล่า ก็ไล่เฉดสีกันดี แต่ถ่ายออกมากลายเป็นสีแดงสีเดียว ถ้าใช้ฟิล์มสไลด์จะได้ใกล้เคียงกับที่ตาเห็น (สไลด์โปรจะทำได้ดีกว่า)
ดูความละเอียดต้องดูที่ Effective เวลาซื้อกล้องดิจิตอล เรามักจะได้ยินคน บอกว่า ตัวนี้ 3 ล้านพิกเซล ตัวนี้ 4 ล้านพิกเซล แต่ส่วนใหญ่ เป็นความละเอียดของเซ็นเซอร์ภาพ ขนาดภาพจริงจะน้อยกว่านั้น ลองดูสเปคในคู่มือ หรือโบรชัวร์ หาคำว่า Effective ซึ่งก็คือขนาดภาพจริงๆ ที่จะได้ เช่น ในโบรชัวร์บอกว่า 5.24 ล้านพิกเซล แต่ตามสเปคระบุชัดว่า ขนาดภาพใหญ่สุดที่ได้คือ 2560 x 1920 พิกเซล ถ้าคูณดูก็จะได้ 4.9 ล้านพิกเซล เป็นต้น
Interpolate ในกล้องบางรุ่น ถ้า เราดูที่ขนาดภาพตามสเปค อาจจะแปลกใจ เพราะคูณออกมาแล้ว ได้ความละเอียดมากกว่าเดิมเช่น CCD 3 ล้านพิกเซล แต่ได้ขนาดภาพถึง 6 ล้านพิกเซล ทั้งนี้เป็นเพราะ มีการใช้เทคโนโลยีบางอย่าง เพิ่มความละเอียดให้สูงขึ้นนั่นเอง เช่น Super CCD ของ Fuji หรือ HyPict ของ EPSON เป็น ต้น แต่คุณภาพจะดีไม่เท่ากับความละเอียดแท้ๆ ของ CCD แต่ก็จะดีกว่ากล้องรุ่นที่มีความละเอียดแบบ Effective เท่ากัน อย่างไรก็ตามก็นับว่า เป็นการเพิ่มคุณภาพให้ดีกว่าเดิม โดยใช้เทคโน โลยีมาช่วย ต่างกับการนำภาพ ไปเพิ่มความละเอียด ด้วยซอพท์แวร์เช่น Adobe Photo shop ซึ่งคุณภาพจะแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเพิ่มความละเอียดถึง 1 เท่าแบบนี้ วิธีการนี้เรามักจะเรียกกันว่า Interpolate ซึ่งกล้องที่มีฟังก์ชั่นเหล่านี้ จะมีเมนูให้เลือกว่าจะใช้หรือไม่

Memory
Memory
Memory (หน่วยความจำ) เป็นอุปกรณ์อีเลคโทรนิคส์ ที่ใช้เก็บคำสั่ง และข้อมูลที่ไมโครเซสเซอร์ สามารถเข้าถึงได้เร็ว เมื่อคอมพิวเตอร์ อยู่ในการทำงานปกติ หน่วยความจำจะเก็บส่วนใหญ่ของระบบปฏิบัติการ และโปรแกรมประยุกต์บางส่วนหรือทั้งหมด และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน หน่วยความจำมักจะใช้ ในความหมายเดียวกับหน่วยความจำชั่วคราว หน่วยความจำชนิดนี้ ตั้งอยู่บนไมโครซิปหนึ่ง หรือมากกว่า ใกล้กับไมโครโพรเซสเซอร์ในคอมพิวเตอร์ การมีขนาด RAM ยิ่งมากจะช่วยลดความถี่ของคอมพิวเตอร์ ในการเข้าถึงคำสั่ง และข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เวลามาก บางครั้งหน่วยความจำได้รับการแยก จากการเป็นที่เก็บ หรือตัวกลางทางกายภาคที่ใช้เก็บข้อมูล จำนวนมากที่มากกว่า RAM และอาจจะไม่ต้องการในเวลานั้น อุปกรณ์การเก็บรวมถึงฮาร์ดดิสก์, ฟล๊อปปี้ดิสก์, CD-ROM และระบบเทปสำรองข้อมูล คำว่า auxiliary storage, auxiliary memory และ secondary memory ใช้สำหรับที่เก็บข้อมูลประเภทนี้
Compact Flash Card (CF Card)
เป็นหน่วยความจำแบบที่นิยมกันมากที่สุด มีขนาดเล็ก เบา ราคาถูก รวมทั้งยังทนทานเป็นพิเศษ มีความจุตั้งแต่ 8 เมกะไบต์ จนถึง 3 กิกะไบต์ จุดเด่นของ CF card คือ มีความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูลสูง โดย CF card จะมี 2 รูปแบบคือ Type 1 และ Type 2 Type II จะมีความหนามากกว่า มีความจุมากขึ้น และประมวลผลได้เร็ว มีใช้ในฮาร์ดดิสก์ขนาดจิ๋ว อุปกรณ์ที่นิยมใช้ CF card ส่วนใหญ่จะเป็น กล้องดิจิตอล และ คอมพิวเตอร์พกพา ที่เห็นได้ชัดก็คือ กล้อง Canon จะใช้ CF card เป็นตัวเก็บภาพแทบทุกรุ่น
Multimedia Memory Card (MMC card)
หน่วยบันทึกข้อมูลประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือหรือเครื่องเล่น MP3 มาก่อน แต่ด้วยข้อจำกัดของ MMC card คือ มีราคาค่อนข้างแพง มีความจุไม่ค่อยสูงมากนัก ซึ่งในอนาคตอาจจะถูกแทนที่ด้วยการ์ดหน่วยความจำแบบ SD Card ในไม่ช้า แต่ที่ยังคงมีการใช้งาน MMC Card กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็เนื่องจาก MMC Card นั้นสามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์ที่รองรับ SD Card ได้ด้วย โดยอุปกรณ์ที่นำ MMC Card ไปใช้งานนั้นก็มักจะเป็นอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ, เครื่องพีดีเอ, เครื่องเล่นเพลง MP3 หรือกล้องดิจิตอล จากที่กล่าวไว้ข้างต้นคือ อุปกรณ์ใดที่มีสล็อตของ SD Card ก็มักจะสามารถนำ MMC Card มาใส่ได้โดยปริยาย เนื่องจากความกว้างและยาวของ MMC Card นั้นเท่ากันกับ SD Card รวมถึงมีขาขั้วต่อ (Pins) รูปแบบเดียวกัน เพียงแต่ MMC Card จะมีความหนาที่น้อยกว่า SD Card อยู่เล็กน้อย
Memory Stick
เป็นหน่วยความจำที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นโดย Sony เพื่อใช้กับกล้องดิจิตอล, เครื่องเล่นเพลง, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องเล่นเกมส์ PlayStation, VAIO notebook ของค่าย Sony โดยเฉพาะ ซึ่ง sony ได้ทำการพัฒนาออกมาหลายรุ่นด้วยกัน เช่น Memory Stick, Memory Stick Duo (มีระบบป้องกันข้อมูลในส่วนของ Memory Stick MagicGate), Memory Stick with memory selection function Total 256 mb (128 mb x 2), Memory Stick Pro, Memory Stick Pro Duo (มีระบบป้องกันข้อมูลในส่วนของ Memory Stick MagicGate)
ลักษณะของ Memory Stick มีรูปร่างเป็นแท่งแบนยาว มีขนาด 50 x 21.5 x 2.8 มิลลิเมตร สามารถรองรับการบันทึก/จัดเก็บข้อมูลได้มากถึงระดับ GB ลักษณะเด่นและมีความเร็วในการบันทึกและการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงระดับ 1.3 MB ต่อวินาที ซึ่งสูงกว่าหน่วยความ SD card หรือ MMC card แบบธรรมดา ช่วยให้การเขียนอ่านข้อมูลทำได้ด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ Memory Stick ไม่ค่อยได้รับความนิยมในหมู่ผู้ใช้ทั่วไปเท่าใดนัก เนื่องจากราคาที่ค่อนข้างสูง
วิธีการเลือกซื้อ Memory
ดูที่คู่มือของกล้อง , โทรศัพท์ หรือ อุปกรณ์ที่คุณใช้อยู่ว่ารองรับการใช้เมมเมรี่การ์ด (Memory Card) แบบไหน ถ้าคู่มือเป็นภาษาอังกฤษให้ดูตรงที่มีข้อความอย่าง เช่น “memory card compatability” or “storage ส่วนใหญ่จะมีอยู่ในหน้าสรุปรายละเอียด หรือ สเปกสินค้า (Product Details , Product Specification)
ถ้าคุณไม่สามารถหาคู่มือให้ดูที่ฝาช่องเสียบการ์ดหน่วยความจำ จะมีเครื่องหมายบอกอย่างเช่น
CF (Compact Flash)
SD (Secure Digital)
xD (Extreme Digital)
MS (Memory Stick)
MMC (MultiMediaCard)
SM (Smart Media)
ขั้นตอนที่ 2 : ตรวจสอบความจุ (Capacity)
- ความจุเยอะก็จะเก็บข้อมูล รูป หรือ เพลงได้เยอะ และความจุยิ่งเยอะ การ์ดก็จะมีราคาแพงสูงขึ้นตามไปด้วย
- อุปกรณ์บางอย่างรองรับความจุที่จำกัด เช่น กล้องรุ่นเก่าอาจรองรับความจุสูงสุดได้แค่ที่ 2 GB
ขั้นตอนที่ 3 : ความเร็วของการ์ด (Speed)
ที่ตัวการ์ดจะมีเครื่องหมายอย่าง เช่น 4X , 12X อยู่นั้นหมายถึงความเร็วในการเขียนต่อวินาที เครื่องหมาย X มีความหมายคือ .. ร้อยกว่ากิโลไบท์ต่อวินาที (kb/s)
เช่น 1x คือความเร็วในการเขียน 150 กิโลไบท์ต่อวินาที (KB/s)
4x คือ 400 กว่ากิโลไบท์ต่อวินาที (KB/s)
สำหรับผู้ใช้กล้องดิจิตอลหรือวีดีโอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น