วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 3 หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู

3.1 บทนำ


 ส่วนควบคุมกลางหรือ ซีพียู(central processing unit; CPU) ของระบบคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยส่วนใหญ่ ๆ 2 ส่วน คือ หน่วยคำนวณ หน่วยควบคุม
(control unit) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงาน ควบคุมการเขียนอ่านข้อมูลระหว่างหน่วยความจำของซีพียู ควบคุมกลไกการทำงานทั้งหมดของระบบ ควบคุมจังหวะเวลา โดยมีสัญญาณนาฬิกาเป็นตัวกำหนดจังหวะการทำงาน
(arithmetic and logic unit) เป็นหน่วยที่มีหน้าที่นำเอาข้อมูลที่เป็นตัวเลขฐานสองมาประมวลผลทางคณิตศาสตร์และตรรกะ เช่น การบวก การลบ การเปรียบเทียบ และ การสลับตัวเลข เป็นต้น การคำนวณทำได้เร็วตามจังหวะการควบคุมของหน่วยควบคุม

3.2 ส่วนประกอบของ CPU

CPU ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้

  • Control Unit (CU) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานโดยทั่วไปของเครื่องคอมพิวเตอร์
  • Arithmetic Logic Unit(ALU) ทำหน้าที่ประมวลผล ซึ่งสามารถทำได้ทั้งการคำนวณผลทางคณิตศาสตร์ และ Boolean
  • Register ทำหน้าที่เป็นหน่วยความจำภายใน CPU ที่จัดว่าเป็นส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของเครื่องคอมพิวเตอร์
รูปที่ 1 แสดงองค์ประกอบของ CPU
การทำงานของ CPU

CPU เป็นส่วนที่ทำหน้าที่เกือบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการคำนวณ การเปรียบเทียบทางตรรกะ การควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ การประมวลผลในรูปแบบต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งบริหารการใช้ทรัพยากรภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ องค์ประกอบของ CPU สามารถแสดงได้ดังนี้


ภายใน CPU จะมีหน่วยความจำความเร็วสูงจำนวนหนึ่งเรียกว่า Register ซึ่งจะแตกต่างกันไปแล้วแต่สถาปัตยกรรมของ CPU เหล่านั้น Register เป็นหน่วยความจำที่เตรียมข้อมูลสุดท้ายก่อนทำการประมวลผล (Execution) Register ตัวที่สำคัญมากที่สุดตัวหนึ่งชื่อว่า Program Counter (PC) ทำหน้าที่ชี้ไปยังคำสั่งถัดไป ในบางครั้งอาจสับสนกับชื่อนี้เนื่องจากไม่ได้เป็นตัวนับอะไรเลย Register อีกตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่สำคัญคือ Instruction Register (IR) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลคำสั่งที่กำลังดำเนินการ (Execution) อยู่ การที่ CPU มี Registe r มากแสดงว่าเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นมีความซับซ้อนและมีความสามารถมาก

วงรอบการทำงานของ CPU ในการสั่งให้โปรแกรมทำงานที่เรียกว่า “Fetch-Execute Cycle” มีการทำงาน 8 ขั้นดังนี้

  1. ป้อนคำสั่งถัดไปเข้าสู่ Instruction Register (IR)
  2. แก้ไข Program Counter เพื่อชี้ไปยังคำสั่งถัดไป
  3. กำหนดรูปแบบของคำสั่งที่จะทำการป้อน
  4. ถ้าคำสั่งนั้นใช้ข้อมูลจากหน่วยความจำ ต้องกำหนด Address ที่แน่นอนว่าอยู่ที่ไหน
  5. ป้อนข้อมูล สู่ Register ภายใน CPU
  6. ดำเนินการ (Execution)
  7. เก็บผลลัพธ์ไว้ในหน่วยความจำ
  8. ย้อนกลับไปข้อที่ 1 เพื่อดำเนินการ (Execution) ต่อ

กล่าวโดยสรุปว่า การทำงานของ CPU เริ่มต้นจากการที่ CPU อ่านคำสั่ง (Fetch) เมื่ออ่านคำสั่งมา


แล้วขั้นต่อไปจะเป็นการทำตามคำสั่งที่ได้อ่านมา (Execute) และเมื่อเสร็จสิ้นการ Execute แล้ว CPU ก็จะทำการอ่านคำสั่งต่อไปเพื่อที่จะทำการ Execute ต่อไป โดยการทำงานเป็น Cycle และจะทำไปที่ละคำสั่งตามที่รอการทำงาน การอ่านและทำตามคำสั่งของ CPU นั้นจะทำได ้ครั้งละ 1 คำสั่ง

การทำงานแบบขนาน

ผู้ออกแบบพยายามออกแบบให้คอมพิวเตอร์ทำงานเร็วขึ้น จากกฏด้านฟิสิกส์ข้อหนึ่งว่า ไม่มีอะไรที่เดินทางเร็วกว่าแสง ซึ่งมีความเร็ว 30 ชม. ต่อ 1*10-9 วินาที ในหลอดสูญญากาศ และราว 20 ซม. ต่อ 1 * 10-9 วินาที ในลวดทองแดง ทั้งนี้หมายค วามว่าการที่จะสร้างคอมพิวเตอร์ทีความเร็ว 1 * 10-9 วินาทีต่อหนึ่งคำสั่ง คอมพิวเตอร์จะต้องมีขนาดเล็กกว่า 20 ซม. ดังนั้นคอมพิวเตอร์ความเร็วสูงจะต้องมีขนาดเล็กมาก

3.3สถาปัตยกรรมของซีพียู

  สถาปัตยกรรมแบบ RISC: Reduces Instruction Set Computing
       ปี ค..1975 กลุ่มนัดวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้พัฒนาซีพียูที่มีสถาปัตยกรรมแบบ RISC: Reduces Instruction Set Computing โดยให้ซีพียู
    ทำงานด้วยไซเคิลที่แน่นอน และลดจำนวนคำสั่งลงให้เหลือคำสั่งพื้นฐานมมากที่สุด แล้วใช้หลักการทำงานแบบไปป์ไลน์  (Pipeline) จึงนับว่าเป็น
    สถาปัตยกรรมที่ได้ทำการแก้ปัญหาของ RISC โดยใช้การประมวลผลแบบง่ายๆเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์ให้มีความเร็วสูงขึ้น เนื่อง
    จากออกแบบซีพียูไม่ซับซ้อนเหมือนอย่าง RISC จึงง่ายต่อการพัฒนาประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์แบบ RISC จึงทำงานได้เร็ว ซึ่งต่อมาบริษัท
    ซัรไมโครซิสเต็มก็นำมาใช้เป็นซีพียูหลักในเครื่อง SPARC และจะพบได้ในเครื่องระดับเวิร์คสเตชั่นขึ้นไป

3.4 หลัการทำงานของซีพียู 

CPU หรือ Central Processing Unit เป็นหัวใจหลักในการประมวลของคอมพิวเตอร์ โดยพื้นฐานแล้วซีพียูทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลเชิงคณิตศาสตร์และข้อมูลเชิงตรรกะเท่านั้น แต่ทำไมการคำนวณขนาดนี้ ต้องมีการพัฒนาซีพียูกันไม่หยุดหย่อน ย้อนกลับไปปี 1946 คอมพิวเตอร์ยุคแรกที่มีชื่อที่พอจะจำได้ก็คือ ENIVAC นั้นทำงานโดยใช้หลอดไดโอด ซึ่งสถานะการทำงานของหลอดพวกนี้ มีสองอย่าง คือ 1 กับ 0 จะมีค่าเป็น 1 เมื่อมีกระแสไหลผ่านและเป็น 0 เมื่อไม่มีกระแสไหลผ่าน นั่นจึงเป็นเหตุผลให้คอมพิวเตอร์ใช้เลขฐาน 2 ในการคำนวณ ครั้นต่อมาวิทยาการก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ จากหลอดไดโอดก็พัฒนาเป็นทรานซิสเตอร์ และจากทรานซิสเตอร์ก็พัฒนาเป็นวงจรขนาดเล็ก ซึ่งรู้จักกันในชื่อของ IC และในที่สุดก็พัฒนาเป็น Chip อย่างที่เรารู้จักกันมาจนปัจจุบันนี้ 
สิ่งที่ผู้ผลิตซีพียูพยายามเพิ่มก็คือ ประสิทธิภาพในการประมวลผลของซีพียู เมื่อกล่าวถึงซีพียูและการประมวลผล สิ่งหนึ่งที่เราต้องเข้าใจคือภายในซีพียูไม่มีหน่วยเก็บข้อมูลสำหรับเก็บข้อมูลปริมาณมากๆ และซีพียูในยุคแรกๆ ก็ไม่มี Cache ด้วยซ้ำไป ปัจจัยที่มีผลต่อความเร็วของซีพียูก็คือ ความเร็วในการประมวลผลและความเร็วในการโอนย้ายข้อมูล ซีพียูในยุคแรกๆ นั้นประมวลผลด้วยความเร็ว 4.77 MHz และมีบัสซีพียู (CPU BUS) ความกว้าง 8 บิต เรียกกันว่าซีพียู 8 บิต (Intel 8080 8088) นั้นก็คือซีพียูเคลื่อนย้ายข้อมูลครั้งละ 1 ไบต์ ยุคต่อมาเป็นซีพียู 16 บิต 32 บิต และ 64 บิต ปัจจุบันโดยเฉพาะซีพียูรุ่นใหม่ๆ เคลื่อนย้ายข้อมูลครั้งละ 128 บิต ในการเคลื่อนย้ายข้อมูลนั้น เกิดขึ้นจากการควบคุมสัญญาณนาฬิกา ซึ่งนับสัญญาณเป็น Clock 1 เช่น ซีพียู 100 MHz หมายความว่าเกิดสัญญาณนาฬิกา 100 ครั้งต่อวินาที 

3.5 การติดต่อระหว่างอุปกรณ์รอบข้างกับซีพียู
การเริ่มต้นการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ จำเป็นต้องมีโปรแกรมสำหรับเริ่มต้นปฏิบัติการ เรียกว่า บูธส์แทรป (Bootstrap) ซึ่งจะทำหน้าที่กำหนดค่าเริ่มต้นให้กับรีจีสเตอร์ภายในหน่วยประมวลผลกลาง ตัวควบคุมอุปกรณ์ ตลอดจนหน่วยความจำ และทำการโหลดระบบปฏิบัติการลงในหน่วยความจำเพื่อเริ่มต้นการทำงาน โดยที่ระบบปฏิบัติการจะสร้างโปรเซสแรกชื่อว่า init และรอเหตุการณ์โดยใช้วิธีการขัดจังหวะจากฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ ถ้าสัญญาณการขัดจังหวะมาจากฮาร์ดแวร์ การขัดจังหวะอาจเกิดขึ้นเวลาใดก็ได้ โดยส่งสัญญาณทางบัสไปยังหน่วยประมวลผลกลาง แต่ถ้าส่งมาโดยซอฟต์แวร์ การขัดจังหวะจะเกิดขึ้นได้โดยทำตามคำสั่งพิเศษที่เรียกว่า คำสั่งระบบ (System call หรือ monitor call)
เหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เกิดการขัดจังหวะ เช่น การเสร็จสิ้นการทำงานของอุปกรณ์นำข้อมูลเข้า/ออก การเกิดข้อผิดพลาดจากการหารด้วยศูนย์ และการร้องขอการบริการจากระบบปฏิบัติการ การขัดจังหวะแต่ละประเภทจะมีส่วนบริการเฉพาะของตนเองที่ต้องให้บริการแก่การขัดจังหวะประเภทนั้นๆ เมื่อเกิดสัญญาณการขัดจังหวะ หน่วยประมวลผลกลางจะหยุดการทำงานขณะนั้นและโยกย้ายมาปฏิบัติการ ณ ตำแหน่งเริ่มต้นของส่วนการบริการของการขัดจังหวะที่เกิดขึ้น หลังจากทำงานในส่วนบริการเสร็จสิ้น หน่วยประมวลผลกลางจึงกลับไปทำงานที่ถูกขัดจังหวะนั้นต่อไป
การขัดจังหวะเป็นส่วนสำคัญของสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ซึ่งในการออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละรุ่น มีกลไกการขัดจังหวะเฉพาะของตนเอง แต่หน้าที่โดยทั่วไปเหมือนกัน เมื่อเกิดสัญญาณการขัดจังหวะ จะมีตัวจัดการขัดจังหวะ (interrupt handle) ทำการตรวจสอบก่อนว่าสัญญาณนั้นเป็นสัญญาณขัดจังหวะประเภทใด จากนั้นก็โยกย้ายการควบคุมไปยังตำแหน่งเริ่มต้นของส่วนการบริการการขัดจังหวะประเภทนั้นๆ ซึ่งการจัดการงานนี้ต้องทำอย่างรวดเร็วโดยใช้ตารางเก็บตำแหน่งส่วนบริการการขัดจังหวะ (interrupt vector table) ที่อยู่ในหน่วยความจำหลัก ซึ่งข้อมูลในตารางนี้เป็นตำแหน่งที่อยู่เริ่มต้นของส่วนบริการการขัดจังหวะแต่ละประเภท ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์และไมโครซอฟต์ดอส ก็อาศัยกลไกการขัดจังหวะนี้
นอกจากนี้กลไกการขัดจังหวะจะต้องเก็บตำแหน่งของคำสั่งที่ถูกขัดจังหวะด้วย เพื่อให้หน่วยประมวลผลกลางสามารถกลับมาทำงานที่ถูกขัดจังหวะต่อไปได้ เดิมทีนั้นมีการออกแบบให้เก็บตำแหน่งดังกล่าวไว้ในที่ที่กำหนดให้แน่นอนแล้วหรือโดยใช้หมายเลขอุปกรณ์เป็นดัชนีของที่ที่กำหนดให้ แต่ในปัจจุบันนี้ ระบบเก็บตำแหน่งการกลับคืนนั้นเก็บไว้บนสแต็กของระบบ ถ้าส่วนการบริการการขัดจังหวะจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมของหน่วยประมวลผลกลาง เช่น ค่าในรีจีสเตอร์ก็จะต้องทำการเก็บรักษาค่าต่างๆที่ถูกกระทบไว้บนสแต็กก่อนและหลังจากการทำงานในส่วนบริการเสร็จสิ้น ทำการกำหนดค่าเดิมเหล่านั้นกลับคืนให้เพื่อรักษาสถานะเดิมของระบบ ดังนั้นเมื่อหน่วยประมวลผลกลางกลับมาทำงานเดิมที่ถูกขัดจังหวะไป ก็สามารถดำเนินต่อไปได้เสมือนว่างานนั้นไม่เคยถูกขัดจังหวะ
โดยปกติ ขณะที่ระบบปฏิบัติการกำลังบริการให้กับสัญญาณการขัดจังหวะหนึ่งนั้น จะไม่สนใจสัญญาณการขัดจังหวะอื่น ๆ ที่เข้ามาในระหว่างนั้น เพราะถ้าระบบปฏิบัติการยอมรับสัญญาณขัดจังหวะใหม่ที่เข้ามาอีก จะทำให้ข้อมูลสถานะต่างๆ ของสัญญาณการขัดจังหวะแรกหายไปทันที อย่างไรก็ตาม กลไกการขัดจังหวะที่ซับซ้อนมากขึ้น จะยอมรับการเกิดสัญญาณการขัดจังหวะใหม่ได้โดยใช้หลักการของลำดับความสำคัญที่กำหนดให้กับการร้องขอแต่ละชนิด และจัดเก็บข้อมูลของการดำเนินการขัดจังหวะแยกตามลำดับความสำคัญนั้นๆ ทั้งนี้สัญญาณการขัดจังหวะที่มีลำดับความสำคัญมากกว่าจะได้เข้าปฏิบัติการก่อน แม้ว่าขณะนั้นระบบปฏิบัติการกำลังทำงานให้กับสัญญาณการขัดจังหวะที่มีลำดับความสำคัญต่ำกว่า แต่ถ้าสัญญาณการขัดจังหวะที่เข้ามานั้นเป็นสัญญาณการขัดจังหวะที่มีลำดับความสำคัญเท่ากันหรือต่ำกว่า ระบบปฏิบัติการก็จะไม่ยอมรับรู้เช่นกัน
ระบบปฏิบัติการสมัยใหม่เป็นระบบที่ทำงานโดยใช้การขัดจังหวะ ถ้าไม่มีโปรเซสที่ระบบปฏิบัติการไม่ต้องให้บริการอุปกรณ์ใดๆ และไม่มีการตอบสนองไปยังผู้ใช้ ระบบปฏิบัติการก็จะว่างและรอเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นถูกส่งมาในรูปของสัญญาณของการขัดจังหวะที่เกิดจากซอฟต์แวร์สร้างขึ้น โดยอาจจะเกิดข้อผิดพลาด เช่นการเกิดหารด้วยศูนย์ หรือการเข้าถึงหน่วยความจำไม่ถูกต้อง หรืออาจเกิดจากการร้องขอของโปรแกรมผู้ใช้ที่ระบบปฏิบัติการต้องกระทำการให้
ลักษณะการทำงานโดยใช้การขัดจังหวะของระบบปฏิบัติการนี้เป็นตัวกำหนดโครงสร้างโดยทั่วไปของระบบ เมื่อมีการขัดจังหวะเกิดขึ้น ฮาร์ดแวร์จะส่งการควบคุมไปยังระบบปฏิบัติการ เพื่อทำการเก็บค่าสถานะของหน่วยประมวลผลกลาง ได้แก่ รีจีสเตอร์และตำแหน่งคำสั่งถัดไปในการปฏิบัติการของโปรแกรม จากนั้นระบบปฏิบัติการจะพิจารณาว่าเป็นการขัดจังหวะประเภทใด โดยใช้วิธีการการติดต่อระหว่างซีพียูกับอุปกรณ์รอบข้างที่เรียกว่า การขัดจังหวะหรือการอินเตอร์รัพ (interrupt) ซึ่งมีการติดต่อแบบต่างๆ คือแบบพอลลิ่ง (polling),แบบ อินเตอร์รัพ (interrupt) และแบบเมลบ๊อกซ์ (mailbox) ดังมีรายละเอียดดังนี้
    1. การติดต่อแบบพอลลิ่ง (polling) ลักษณะการติดต่อแบบนี้คือ ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง (Quantum time) ซีพียูจะหยุดงานที่ทำอยู่ชั่วคราวและไปตรวจเช็คที่แต่ละแชนแนลเพื่อดูว่า มีอุปกรณ์ตัวใดบ้างต้องการส่งข้อมูลมาให้ซีพียูจากอุปกรณ์แรกไปถึงอุปกรณ์สุดท้าย ถ้าอุปกรณ์ต้องการส่งข้อมูล ซีพียูก็จะรับข้อมูลมาแต่ถ้าอุปกรณ์นั้นไม่ต้องการส่งข้อมูล ซีพียูก็จะเปลี่ยนไปตรวจสอบอุปกรณ์ตัวอื่นต่อไปจนกระทั่งตรวจสอบครบหมด ซีพียูจะกลับไปทำงานของมันตามเดิม วนรอบ (Loop) การทำงานเช่นนี้เรื่อยไปลักษณะของการพอลลิ่ง อาจยกตัวอย่างของการสอนหนังสือในห้องเรียนมาประกอบเพื่อความเข้าใจ นั่นคือในขณะที่ครูกำลังสอนนักเรียน ทุก ๆ 10 นาที คุณครูจะหยุดสอนและไล่ถามนักเรียนทีละคนว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ถ้านักเรียนคนที่ถูกถามไม่มีคำถามหรือข้อสงสัยคุณครูก็เปลี่ยนไปถามนักเรียนคนถัดไป แต่ถ้า นักเรียนคนนั้นมีปัญหาจะถาม ครูก็จะอนุญาตให้นักเรียนถามได้ เมื่อถาม-ตอบเสร็จแล้วครูก็จะไปถามนักเรียนคนอื่นต่อจนหมดชั้น แล้วครูจึงกลับไปสอนต่อจนอีก 10 นาทีจึงเริ่มต้นถามใหม ข้อเสียของการพอลลิ่งคือ ในกรณีที่อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ต้องการส่งข้อมูลเลย ซีพียูจะเสียเวลาที่ต้องตรวจเช็คอุปกรณ์ทุกตัว (คุณครูเสียเวลาในการถามนักเรียนทุกคน โดยที่อาจไม่มีนักเรียนคนไหนมีคำถามเลย) และอีกประการหนึ่งคืออุปกรณ์ที่ต้องการส่งข้อมูลจะส่งข้อมูลให้ซีพียูได้เฉพาะเมื่อถึงเวลาที่ซีพียูตรวจเช็คมาถึงตัวมันเท่านั้น ทำให้อุปกรณ์นั้นเสียเวลาในการรอ (นักเรียนต้องรอจนกว่าคุณครูถามมาถึงตัวเขา เขาถึงจะถามคำถามได้)
    2. การติดต่อแบบอินเตอร์รัพ (interrupt) ลักษณะการติดต่อแบบนี้จะลดข้อเสียแบบพอลลิ่งได้มาก มีขั้นตอนดังนี้คือ เมื่ออุปกรณ์ตัวใดต้องการส่งข้อมูล มันจะส่งสัญญาณผ่านทางแชนแนลไปบอกซีพียู เมื่อซีพียูรับทราบแล้วจะหยุดงานที่ทำอยู่ชั่วคราว เพื่อให้อุปกรณ์ทำการส่งข้อมูลจนกระทั่งเสร็จสิ้นลง ซีพียูจึงกลับไปทำงานที่ทำค้างไว้ต่อ เปรียบได้กับการที่คุณครูสอนไปเรื่อยๆ เมื่อนักเรียนคนใดมีคำถามจะถาม ก็ยกมือเป็นการบอกให้คุณครูรับทราบ (ส่งสัญญาณให้ซีพียู) เมื่อคุณครูเห็นนักเรียนยกมือ (CPU รับรู้การต้องการส่งข้อมูล) ก็หยุดสอนชั่วคราวเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ถาม (ส่งข้อมูล) และตอบคำถาม เมื่อนักเรียนเข้าใจในปัญหาที่มีอยู่ (การส่ง ข้อมูลสิ้นสุดลง) ครูก็เริ่มสอนนักเรียนต่อไป (ซีพียูกลับมาทำงานที่ค้างไว้) การติดต่อแบบอินเตอร์รัพต์ ซีพียูไม่ต้องเสียเวลาในการตรวจเช็คความต้องการส่งข้อมูลของอุปกรณ์ ทุกตัว และในทำนองเดียวกันอุปกรณ์ก็ไม่ต้องเสียเวลารอแต่อย่างไรก็ตามซีพียูอาจไม่สามารถหยุดงานที่กำลังทำอยู่ได้ในทันที ในกรณีนี้อุปกรณ์ตัวนั้นต้องรอจนกระทั่งงานที่ซีพียูกำลังทำอยู่นี้เสร็จสิ้นลงเสียก่อน มันจึงส่งข้อมูลได้
    3. การติดต่อแบบเมลบ๊อกซ์ (mailbox) ลักษณะการติดต่อแบบนี้ ระบบต้องเสียเนื้อที่ในหน่วย ความจำบางส่วนเพื่อเป็นที่สำหรับพักข้อมูล เมื่อมีอุปกรณ์บางตัวที่ต้องการส่งข้อมูล มันก็จะส่งข้อมูลไปไว้ที่หน่วยความจำส่วนนี้ และสำหรับซีพียูทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งๆ ซีพียูจะหยุดงานที่ทำไว้เพื่อจะไปตรวจสอบที่หน่วยความจำส่วนนี้เพื่อดูว่ามีข้อมูลอยู่หรือไม่ ถ้าไม่มี ข้อมูลถูกส่งไปไว้ในหน่วยความจำนี้ ซีพียูจะกลับไปทำงานเดิมที่ค้างไว้ แต่ถ้ามีมันก็จะรับข้อมูลเข้ามา จะเห็นได้ว่าการติดต่อแบบเมลบ๊อกซ็นี้เป็นการผสมผสานระหว่างการอินเทอร์รัพต์กับการพอลลิ่ง
ที่อธิบายมานี้เป็นการติดต่อในรูปแบบที่อุปกรณ์ภายนอกต้องการส่งข้อมูลให้ซีพียู ในทำนองเดียวกับ ถ้าซีพียูต้องการส่งข้อมูลให้กับอุปกรณ์ต่าง

3.6 พัฒนาการของซีพียู 

    CPU (Central Processing Units) หรือ หน่วยประมวลผล เป็นอุปกรณ์ ที่เป็นหัวใจของเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะการทำงานทั้ง
    หมดไม่ว่าจะเป็นการคำนวณการยายข้อมูลการตัดสินใจ เป็นการทำงานของซีพียู หากแต่ซีพียูจะต้องมีอื่นๆ งานร่วมเพราะอุปกรณ์
    ทุกตัวล้วนมีหน้าที่ในการทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

                                                                               รูปที่4.1 ตัวอย่างซีพียู 

          วิวัฒนาการของซีพียู                  
       บริษัท อินเทล (Intel) เป็นบริษัทรายแรกที่ผลิตซีพียู  เริ่มต้นผลิตเป็นซีพียูรุ่น 8080 หรือที่อินเทลเรียกว่า“Intel 8080” มีขนาด 8 บิต
     บรรจุทรานซิสเตอร์ประมาณ 50,000ตัว รูปร่างของไอซีจะเหมือนกับตีนตะขาบ โดยจะมีจำนวนขา 40 ขาเรียกว่า PID :Dual  In
     Package ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น การผลิตซีพียูรุ่นต่อๆ มาก็เปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีแบบ VLS: Very Large Scale
     Integrate แทน

                                                                            รูปที่4.2ซีพียู Intel 8088                            
     
         การพัฒนาซีพียูก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และถูกพัฒนาให้อยู่ในรูปไมโครชิปที่เรียกว่าไมโครโปรเซสเซอร์ ไมโครโปรเซสเซอร์
     จึงเป็นหัวใจหลักของระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ถึงไมโครคอมพิวเตอร์ ล้วนแล้วแต่ใช้ไมโครชิปเป็นซีพียูหลัก
     ในเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ เช่น ES9000  ของบริษัท ไอบีเอ็มก็ใช่ไมโครชิปเป็นซีพียู แต่อาจจะมีมากกว่าหนึ่งชิปประกอบรวมเป็น
     ซีพียู เทคโนโลยีไมโครโปรเซสเซอร์ได้พัฒนาอย่างรวเร็ว ดังรายละเอียดสรุปได้ดัวนี้
       1... 2518บริษัท อินเทลได้พัฒนาไมโครโปรเซสซอร์ที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ ไมโครโปรเซสเซอร์เบอร์8080 ซึ่งเป็นซีพียูขนาด บิต
     ซีพียูรุ่นนี้จะรับข้อมูลเข้ามาประมวลผลภาษาเครื่องหรือระบบเลขฐาน28ครั้ง8บิต และทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการซีพีเอ็ม (CP/M)
     นอกจากขีดความสามารถในการประมวลผลภาในการรับส่งข้อมูลระหว่างซีพียูกับอุปกรณ์ภายนอกแล้ว ยังต้องพิจารณาขีดความ
     สามารถของซีพียูในการเข้าไปเขียนอ่านในหน่วยความจำด้วย ซีพียู 8088 สามารถเขียนอ่านในหน่วยความจำได้สูงสุดเพียง 1 เมกะ
     ไบต์ ซึ่งถือว่ามากในขณะนั้น ความเร็วของการทำงานของซีพียูกับการใช้จังหวะที่เรียกว่า สัญญาณนาฬิกาซีพียู 8088 ถูกกำหนด
     จังหวะด้วยสัญญาณนาฬิกาที่มีความเร็ว 4.77 ล้านรอบใน 1 วินาที หรือที่เรียกว่า 4.77 เมกะเฮิรตซ์ (MHz)
       2.บริษัทแอปเปิลก็เลือกซีพียู 6502 ของบริษัท มอสเทคมาผลิตเป็นเครื่องแอปเปิลได้รับความนิยมมาในยุคนั้น
   
รูปที่ 4.3 ซีพียู 6502
       3. .2524 บริษัท ไอบีเอ็มมีการพัฒนาเป็นซีพียู 16 บิตที่มีการรับข้อมูลได้ครั้งละ 16 บิต ซีพียู 8088 แบบ16 บิตนี้เรียกว่า ซีพี และ
    ซีพีรุ่นแรก
      
       4. ใน พ..2527 บริษัท ไอบีเอ็มเสนอไมโครคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ทำงานได้ดีกว่าเดิมโดยใช้ชื่อรุ่นว่า พีซีเอที      (PC-AT)
    คอมพิวเตอร์รุ่นนี้ใช้ซีพียูเบอร์ 80286 ทำงานที่ความเร็วคือ 6 เมกะเฮิรตซ์ การทำงานของซีพียู 80286ดีกว่ารุ่นที่ผ่านมามาก เพราะ
    รับส่งข้อมูลกันอุปกรณ์ภายในเป็นแบบ 16 บิตการประมวลผลแบบ 16 บิต ทำงานด้วยความเร็วของจังหวะสัญญาณนาฬิกาสูงกว่า
    และยังติดต่อเขียนอ่านกับหน่วยความจำได้มากกว่า คือ ติดต่อได้สูงสุด 16 เมกะไบต์ หรือ 16เท่าของคอมพิวเตอร์รุ่นพีซี พัฒนาการ
    ของเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีเอที่ทำให้ผู้ผลิตอื่นออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ตามอย่างไอบีเอ็มโดยเพิ่มขีดความสามารถเฉพาะของตน
    เองเข้าไปอีก เช่น ใช้สัญญาณนาฬิกาสูงเป็น 8 เมกกะเฮิรตซ์ ถึง 16 เมกะเฮิรตซ์ ไมโครคอมพิวเตอร์บนรากฐานของพีซีเอทีจึงมีผู้ใช้
    กันทั่วโลกยุคนี้จึงเป็นยุคที่ไมโครคอมพิวเตอร์แพร่หลาย

                                                                                                            รูปที่ 4.4 ซีพียู 80286
       5. ใน พ..2529 บริษัทอินเทลผลิตซีพียูรุ่น 80386 มาเป็นซีพียูหลักของระบบ วีพียู 80386 มาเป็นซีพียูหลักของระบบ ซีพียู 80386 เพิ่มเติมขีดความ
    สามารถคือรับส่งข้อมูลครั้งละ 38 บิตติดต่อกับหน่วยความจำได้มากถึง 4 กิกะไบต์จังหวะสัญญาณนาฬิกาเพิ่มได้สูงถึง 33 เมกะเฮิรตซ์ ขีดความสามารถ
    สูงกว่าซีพียูรุ่นเดิมมาก
                                                                  
                                                                                                   รูปที่ 4.4 ซีพียู 80386
       6.ใน พ..2530 บริษัท ไอบีเอ็มเริ่มประกาศขายไมโครคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ชื่อว่าพีเอสทู (PS/2) โดยมีโครสร้างทางฮาร์ดแวร์ของระบบแตกต่างออก
    ไปโดยเฉพาะระบบเส้นทางส่งถ่ายข้อมูลภายใน (bus)
       7.ใน พ..2531 บริษัท อินเทลผลิตเครื่อง80386SX80 พียู 386SX ใช้กับโครงสร้างเครื่องพีซีเอทีเดิมได้พอดี โดยไม่ต้องดัดแปลงอะไร ทั้งนี้เพราะโครง
    สร้างภายในซีพียูเป็นแบบ 80386 แต่โครงสร้างการติดต่อกับอุปกรณ์ภายนอกใช้เส้นทางเพียงแค่ 16 บิต ไมโครคอมพิวเตอร์ 80386SX จึงเป็นที่นิยมเพราะ
    มีราคาถูกและสามารถคอมพิวเตอร์รุ่น 80386 แต่ไม่เป็นที่นิยมมากนักทั้งนี้เพราะยุคเริ่มต้นของเครื่องคอมพิวเตอร์ 80386 มีราคาแพงทางบริษัทจึงได้ลด
    ขีดความสามารถของ 80386 ให้เหลือเพียง ทดแทนเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นพีเอทีได้
       8.ใน พ..2535 บริษัทอินเทลได้ผลิตซีพียู 80486 ซึ่งซีพียู 80486 ไม่มีข้อเด่นอะไรมากนัก เพียงแต่ใช้เทคโนโลยีการรวมชิป 80387 เข้ากับซีพียู 80386
     ซึ่งชิป 80387 เป็นหน่วยคำนวณทางคณิตศาสตร์ และรวมเอาส่วนจัดการหน่วยความจำเข้าไว้ในชิปทำให้การทำงานโดยรวมรวดเร็วขึ้นอีก
                                                                         
                                        รูปที่ 4.6 ซีพียู Intel 80386
       9. ใน พ..2535 อินเทลได้ผลิตซีพียูตัวใหม่ที่มีขีดความสามารถสูงขึ้น ชื่อว่า เพนเทียม การผลิตไมโครคอมพิวเตอร์จึงได้เปลี่ยนมาใช้ซีพียูเพนเทียม
    ซึ่งเป็นซีพียูที่มีขีดความสามารถเชิงคำนวณสูงกว่าซีพียู 80486 โดยใช้ระบบการถ่ายข้อมูลได้ถึง 64 บิตการพัฒนาทางด้านซีพียูเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
    ไมโครโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่จะมีโครงสร้างที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ใช้งานได้ดีมากขึ้นและจะเป็นซีพียูในรุ่นที่ 6ของบริษัท อินเทล โดยมีชื่อว่า Pentium II,ตาม
    ด้วย Pentium III, Pentium 4,INTEL XEON, Pentium dual, INTEL CORE2 DUO,INTEL PEMTIUM E และสำหรับรายละเอียดขอลการพัฒนาการของ
    ซีพียูส่วนมากจะเน้นข้อมูลของบริษัท อินเทล ผู้ผลิตรายแรกสำหรับบริษัทอื่นจะได้กล่าวในหัวข้อต่อไป
                                                                        

                                       รูปที่ 4.7 ซีพียู Intel pentium

3.7 เอเอ็มดี เค 5 -เค6 


แรกของเอเอ็มดีคือK5, ซึ่งว่างจำหน่ายในปี ค.ศ. 1996.[16] โดยที่ตัว "K" ที่อยู่ด้านหน้าของรุ่นซีพียูคือ คริปโตไนต์. (เป็นแร่ในจินตนาการจากการ์ตูนฝรั่งเรื่อง ซูเปอร์แมน ของ ค่ายดีซีคอมิก และแร่นี้จะปล่อยกัมมันตภาพรังสีซึ่งสามารถที่จะส่งผลให้ซูเปอร์แมนอ่อนแอลงได้.ซึ่งทางเอเอ็มดีนั้นเปรียบอินเทลเป็นเสมือน ซูเปอร์แมน เพราะว่ามีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด[17]) โดยที่หมายเลข 5 นั้นก็คือ รุ่นของหน่วยประมวลผล, ซึ่งเอเอ็มดีไม่สามารถใช้ชื่อตามอินเทลได้ เพราะเมื่ออินเทลได้วางตลาดเพนเทียม,พวกเขาก็ได้จดชื่อเป็นชื่อทางการค้า มิใช่เลขสามัญดังเดิม ทำให้เอเอ็มดีไม่สามารถใช้ชื่อเพนเทียมทำการค้าได้.
ในปี ค.ศ. 1996,เอเอ็มดีได้เข้าซื้อกิจการของ NexGen,สำหรับเพื่อมีสิทธิ์ในการใช้ Nx series กับโปรเซสเซอร์แบบ x86 อย่างถูกต้อง.เอเอ็มดีได้ให้ทีมดีไซน์ของ NexGen ซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์นั้น, ให้อยู่ตามลำพัง, และมอบเวลาและเงินให้พวกเขาสร้าง Nx686 ใหม่. ผลของการสร้างนั้นทำให้ได้โปรเซสเซอร์ K6 , ซึ่งออกวางจำหน่ายในปีค.ศ. 1997. โดยที่ตัวโปรเซสเซอร์ K6 นั้นใช้ Socket 7 ในการติดตั้งลงบนเมนบอร์ด,และยังไม่พอรุ่น K6-3/450 ของพวกเขานั้นสามารถทำความเร็วได้มากกว่าอินเทล เพนเทียม II (ซึ่งเป็นเจอเนอเรชั่นที่ 6 ของโปรเซสเซอร์). K7 เป็นโปรเซสเซอร์รุ่นที่ 7 ของเอเอ็มดี, โดยเริ่มวางขายเมื่อ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1999, ภายใต้ชื่อแบรนด์ แอททอล์น . ซึ่งแตกต่างจากโปรเซสเซอร์รุ่นก่อนๆของเอเอ็มดี,แอททอล์น นั้นยังไม่สามารถใช้เมนบอร์ดร่วมกับอินเทลเมื่ออย่างแต่ก่อนได้อีกเนื่องจากปัญหาทางลิขสิทธิ์ของ Slot 1 , แอททอล์นจึงใช้ Slot A แทน, ซึ่งเป็นซ๊อกเก็ตของโปรเซสเซอร์จากทางบริษัท Alphaดูรอน เป็นโปรเซสเซอร์ที่มีราคาถูกและจำกัดคุณสมบัติบางอย่างให้ต่ำลงจากแอททอล์น (มี L2 cache 64KB จาก 256KB ของแอททอล์น) ใช้ในซ๊อกเก็ตแบบ 462 เข็ม (ซ๊อกเก็ต A) หรือเมนบอร์ดที่บัดกรีซีพียูลงโดยตรงบนเมนบอร์ด. เซมพรอน วางจำหน่ายโดยเป็นเวอร์ชันที่ถูกลงของแอททอล์น เอ๊กซ์พี, โดยที่วางจำหน่ายทับไลน์เดิมของดูรอน ในซ๊อกเก็ต A ยุค PGA และยังได้รับการพัฒนาให้เป็นซีพียูในยุคของซ๊อกเกต AM 3 อีกด้วย

 สรุปเรื่องซีพียู

ซีพียู (CPU:Central Processing Unit) หรือหน่วยประมวลผลกลาง เป็นส่วนประกอบหลักในการ คิด คำนวณ และประมวลผลข้อมูลต่างๆ เมื่อคอมพิวเตอร์รับข้อมูลใดๆมา ก็จะถูกส่งไปยังซีพูยูเพื่อประมวลผลก่อนเสมอ นอกจากจะเป็นหน่วยประมวลผลกลางแล้วซีพียูยังเป็นอุปกรณ์หลักที่สำคัญและถือเป็นปัจจัยแรกที่ต้องพิจารณาก่อนซื้อหรือประกอบคอมพิวเตอร์เสมอ

ความเร็วของซีพียูความเร็วของซีพียูถือเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันเรียกความเร็วของซีพียูว่า กิกะเฮิร์ตซ์ (GHz) หมายถึง ความถี่ของสัญญาณนาฬิกาที่ใช้ในการทำงานของซีพียู

หน่วยความจำแคช (Cache Memory)เป็นหน่วยความจำแบบ Static RAM (SRAM) มีความเร็วในการทำงานสูง แต่ก็มีข้อเสียคือ เกิดความร้อนสูงและราคาแพง
หน่วยความจะแคช จะทำหน้าที่เหมือนเป็นกระดาษช่วยจำคอยจดบันทึกข้อมูลหรือคำสั่งต่างๆที่ซีพียูมักมีการเรียกใช้งานซ้ำๆบ่อยๆ
โดยทั่วไป Cache ของซีพียูมักจะมีอยู่ 2 ระดับคือ L1 และ L2 ซึ่งปัจจุบันมักจะถูกติดตั้งไว้อยู่ภายในตัวซีพียูเลย

บรรจุภัณฑ์ (Packaging) และฐานรอง (Socket)-แบบ BGA (Ball Grid Array) มีลักษณะเป็นแผ่นแบนๆที่ด้านหนึ่งจะมีวัตถุทรงกลมนำไฟฟ้าขนาดเล็กเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบทำหน้าที่เป็นขาของชิป
-แบบตลับ (Cartridge) มักถูกนำไปใช้กับซีพียูรุ่นเก่า โดยเสียบลงในช่องสล็อต บนเมนบอร์ด ไม่สามารถเสียบข้ามกันได้
-แบบ PGA (Pin Grid Array) เป็นที่นิยมใช้กันมานาน และได้ถูกแบ่งย่อยออกเป็นหลายชนิด ตัวบรรจุภัณฑ์จะมีลักษณะเป็นแผ่นแบนๆที่ด้านหนึ่งจะมีขาจำนวนมากยื่นออกมาจากตัวชิบไว้ใช้เสียบลงบนฐานรองที่เรียกว่า ช็อคเก็ต
-แบบ LGA (Land Grid Array) เป็นบรรจุภัณฑ์ล่าสุดที่ Intel นำมาใช้กับซีพียูใหม่ๆทุกรุ่น มีลักษณะเป็นแผ่นแบนๆที่ด้านหนึ่งจะมีแผ่นตัวนำวงกลมแบนเรียบจำนวนมากเรียงตัวอยู่อย่างเป็นระเบียบทำหน้าที่เป็นขาของชิป

ซีพียู อินเทล (Intel)อินเทล (Intel Corporation) เป็นบริษัทผู้ผลิตซีพียูที่เก่าแก่และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
ซีพียูรุ่นเก่า-80x86
-Pentium
-Pentium Pro
-Pentium II
-Celeron
-Pentium III
-Celeron II

ซีพียู Celeron D และ Dual-CoreCeleron รุ่นล่าสุดใช้ชื่อว่า Celeron D ยังคงเป็นซีพียูราคาประหยัดสำหรับผู้ที่ต้องการคอมพิวเตอร์ใหม่ในราคาไม่แพง
-Celeron D (Prescott-90 nm)
-Celeron D (Cedar Mill-65 nm)
-Celeron D (Conroe-L/65 nm)
-Celeron Dual-Core (Allendale-65 nm)
-Celeron Dual-Core (Merom 2M-65 nm) สำหรับ Notebook

ซีพียู Pentium 4
ซีพียูในตระกลู Pentium 4 ได้ถูกเพิ่มเติมเทคโนโลยี Hyper-Threading (HT) เข้าไปเพื่อช่วยให้สามารถประมวลผลเธรดหรือชุดคำสั่งย่อยต่างๆไปพร้อมๆกันได้เสมือนมีซีพียู 2 ตัวช่วยกันทำงาน

-Pentium 4 HT (Northwood-130 nm)
-Pentium 4 HT (Prescott-90 nm)
-Pentium 4 HT (Cedar Mill-65 nm)

ซีพียู Pentium 4 Extreme Editionเป็นการนำ Pentium 4 มาปรับปรุง
-Pentium 4 Extreme Edition (Gallatin-130 nm)
-Pentium 4 Extreme Edition (Prescott 2M-90 nm)

ซีพียู Pentium D
Pentium D ถูกออกแบบมาเพื่อการทำงานที่ต้องใช้การ Multitasking สูงๆ หรือสามารถทำงานกับแอพพลิเคชั่นได้หลายๆตัวพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
-Pentium D (Smithfield-90 nm)
-Pentium D (Presler-65 nm)

ซีพียู Pentium Dual-Core-Pentium Dual-Core (Allendale-65 nm)
-Pentium Dual-Core (Wolfdale 2M-45 nm)
-Pentium Dual-Core (Yonah-65 nm) สำหรับ Notebook
-Pentium Dual-Core (Merom 2M-65 nm) สำหรับ Notebook

ซีพียู Pentium Extreme Edition
ถูกออกแบบมาสำหรับคอมพิวเตอร์ระดับ Hi-End สมรรถนะสูง เหมาะกับการสร้างสรรค์สื่อบรรเทิงต่างๆอย่างเต็มรูปแบบ
-Pentium Extreme Edition (Smithfield-90 nm)
-Pentium Extreme Edition (Preslar-65 nm)

ซีพียู Core 2 Duo-Core 2 Duo (Allendale-65 nm)
-Core 2 Duo (Conroe-65 nm)
-Core 2 Duo (Wolfdale 3M-45 nm)
-Core 2 Duo (Wolfdale-45 nm)

ซีพียู Core 2 Extreme (Dual-Core)
-Core 2 Extreme (Conroe XE-65 nm)

ซีพียู Core 2 Quad
-Core 2 Quad (Kensfield-65 nm)
-Core 2 Quad (Yorkfield 6M-45 nm)
-Core 2 Quad (Yorkfield-45 nm)

ซีพียู Core 2 Extreme (Quad-Core)
-Core 2 Extreme (Kensfield XE-65 nm)
-Core 2 Extreme (Yorkfield XE-45 nm)

ซีพียู Core i7
*เป็นซีพียูแบบ 4 Core บนชิบเดียว
*การย้ายเอาส่วนควบคุมหน่วยความจำ เข้ามาไว้ภายในตัวซีพียู
*การเพิ่ม L3 Cache เข้าไป
*การใช้หน่วยความจำ DDR3
*เพิ่มประสิทธิภาพของระบบบัส
*เพิ่มชุดคำสั่งด้านมัลติมีเดีย SSE4.2 เข้าไปอีก 7 ชุดคำสั่ง
-Core i7 (Bloomfield-45 nm)

ซีพียู Core i7 Extreme
-Core i7 Extreme (Bloomfield-45 nm)

ซีพียู เอเอ็มดี (AMD)
เอเอ็มดี (Advanced Micro Devices) นับเป็นคู่แข่งที่สำคัญของอินเทล ซึ่งได้พัฒนาซีพียูรุ่นต่างๆของตนเองออกมาอย่างต่อเนื่อง

ซีพียูรุ่นเก่า
-K5
-K6
-K6-2
-K6-III
-Athlon (K7/K75)
-Athlon (Thunderbird)
-Duron
-Athlon XP
-Sempron (K7)
-Sempron (K8)
-Athlon 64 (K8)
-Athlon 64 FX
-Athlon 64 x2 (K8)

ซีพียู Sempron-Sempron (Manila-90 nm)
-Sempron (Sparta-65 nm)
-Sempron (Brisbane-65 nm) Dual-Core

ซีพียู Athlon 64 FX-Athlon 64 FX (San Diego-90 nm)
-Athlon 64 FX (Toledo-90 nm) Dual-Core
-Athlon 64 FX (Windsor-90 nm) Dual-Core
-Athlon 64 FX (Windsor-90 nm) Dual-Socket

ซีพียู Athlon 64 X2-Athlon 64 X2 (Windsor-90 nm)
-Athlon 64 X2 (Brisbane-65 nm)

ซีพียู Athlon X2
-Athlon X2 (Brisbane-65 nm)
-Athlon X2 (Kuma-65 nm)

ซีพียู AMD Phenomได้รับการออกแบบโดยมุ่งเน้นในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแต่ใช้พลังงานให้น้อยลง รวมไปถึงประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรของระบบ
-Phenom X3 (Toloman-65 nm)
-Phenom X4 (Agena-65 nm)
-Phenom FX (Agena FX-65 nm)

 





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น