บทที่ 6 การ์ดแสดงผล (Display Card)
6.1 ความหมายของการ์ดแสดงผล (Display Card)
(Graphic Card, Display Card หรือ VGA Card) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แปลงสัญญาณทางดิจิตอลให้เปลี่ยนเป็น
สัญญาณภาพที่แสดงผลผ่านจอคอมพิวเตอร์ ชนิดของการ์ดแสดงผลจะเป็นตัวกำหนดความเร็วในการแสดงผล ความละเอียดและความคมชัด
ของกราฟฟิก รวมทั้งจำนวนสีที่สามารถแสดงผลด้วย
การ์ดแสดงผลจะประกอบด้วยส่วนต่างๆที่ไม่ซับซ้อนมากนักโดยส่วนของพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆบนการ์ดจะมีข้อความอธิบาย ไว้ด้วย ซึ่งจะสนับสนุนช่องต่อแบบใดบ้างนั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของการ์ดรุ่นนั้นๆด้วยสำหรับส่วนประกอบต่างๆ
ที่สำคัญก็คือชิปกราฟฟิกแรมบนตัวการ์ดพอร์ตเชื่อมต่อสายสัญญาณกับจอภาพ และอินเทอร์เฟสของการ์ด
6.2 ชนิดของการ์ดแสดงผล
ชนิดของการ์ดแสดงผลการ์ดแสดงผลเป็นตัวแปรหนึ่งสำหรับการเลือกซื้อพีซี การ์ดแสดงผลทำให้ขีดความสามารถบางอย่างของเครื่องคอมพิวเตอร์แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะหากต้องการเล่นเกม และเป็นเกมที่เน้นการแสดงผลแบบ 3D การ์ดแสดงผลจะมีผลอย่างมากชนิดของการ์ดแสดงผลมีหลายแบบตามเทคโนโลยีที่พัฒนา และเมื่อมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ของเก่าก็ล้าสมัย และในที่สุดก็ไม่มีผู้ผลิต ชนิดของการ์ดมีดังนี้การ์ดวีจีเอ (VGA) เป็นการ์ดรุ่นแรกที่ทำตามมาตรฐาน VGA มีการเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบทาง ISA การแสดงผลจึงเป็นการแสดงผลที่มีข้อจำกัดในเรื่องการส่งรับข้อมูลจำนวนมาก ปัจจุบันไม่มีจำหน่ายแล้ว แต่จะมีใช้ในพีซีรุ่นเก่า
การ์ดซูเปอร์วีจีเอ (Super VGA) เป็นการ์ดที่ผลิตตามมาตรฐานของ VESA-Video Electronic Standard Association ซึ่งเป็นสมาคมที่จัดตั้งขึ้นมาวางมาตรฐานกลางการแสดงผลเพื่อให้มีความเข้ากันได้ โดยเฉพาะเมื่อผลิตและพัฒนามาจากหลากหลายบริษัท การ์ดวิดีโอที่ใช้กันในรุ่นแรกก็เป็นไปตาม VESA นี้
การ์ดที่ใช้ตัวเร่งกราฟิกส์ (Graphic Accelerator) เป็นการ์ดที่พัฒนามาจากบริษัทชั้นนำทางด้านการผลิตการ์ดวิดีโอนี้ มีการพัฒนาซีพียูแบบ co-processor ใช้บนบอร์ด เพื่อเพิ่มความเร็วการแสดงผลกราฟิกส์ การ์ดตัวเร่งกราฟิกส์นี้ ทำงานได้ดีกับคำสั่งพิเศษที่เขียนภาพแบบ 2D และเป็นภาพที่แสดงผลด้วยความละเอียดสูงการ์ดตัวเร่ง 3D บริษัทชั้นนำหลายบริษัทได้พัฒนาเทคโนโลยีขึ้นใช้โดยเน้นการแสดงภาพสามมิติ ซึ่งมีคำสั่งสนับสนุนการทำงานแบบภาพสามมิติ การ์ดแสดงผลแบบนี้จึงต้องทำงานด้วยความเร็วสูง และก็มีราคาแพงขึ้น เช่น การ์ด GeForce, Voodoo เป็นต้น
6.3 หน่วยความจำบนการ์ดแสดงผลกับความละเอียดของการแสดงผล
พัฒนาการของการ์ดแสดงผลมีได้ทำให้การแสดงผลด้วยความเร็วอย่างเดียว แต่จะต้องเพิ่มความละเอียดและจำนวนสีของการแสดงผลด้วย ความละเอียดและจำนวนสีจะมีผลโดยตรงต่อหน่วยความจำที่ใช้ในการแสดงผล ทั้งนี้เพราะแต่ละจุดที่แสดงผลคือข้อมูลที่เก็บในหน่วยความจำความละเอียดของการแสดงผลวัดเป็นจำนวนจุดสี ซึ่งหมายถึงการแสดงผลทั้งจอภาพได้เท่าไร เช่น 640x480 หมายถึงมีจุดภาพตามแนวนอน 640 จุดสี และแนวตั้ง 480 จุดสี แต่ละจุดสียังแสดงสีได้ด้วยความละเอียดของจำนวนสีอีก ดังนั้นหากต้องการแสดงสีเดียวของความละเอียด 640x480 ก็ต้องมีจำนวนจุดสีถึง 307200 ซึ่งถ้าแสดงผลเฉพาะทั้งคำก็ต้องใช้ข้อมูล 307200 บิต หรือ 38400 ไบต์ นั่นเอง ตารางที่ 1 เป็นการแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานการแสดงผลบนจอภาพ และหน่วยความจำที่ใช้ในการแสดงผลเป็นไบต์
6.4 การเลือกซื้อการ์ดแสดงผล
ในการเลือกซื้อการ์ดแสดงผลคงต้องประเมินดูสภาพการใช้งานว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร โดยอาจแบ่งแยกงานเป็นสองกลุ่มคือ งานประเภทต้องใช้ภาพสามมิติ หรือการแสดงผลมัลติมีเดีย การตัดต่อวิดีโอ กับอีกกลุ่มได้แก่ การใช้งานทั่วไปในสำนักงานใช้เพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตการ์ดที่ใช้แสดงผลสามมิติ (3D) และเล่นเกมแบบสามมิติต้องใช้ชิพตัวเร่งพิเศษ การ์ดพวกนี้จะมีราคาแพงขึ้น เช่น การ์ดที่ใช้ชิพ GeForce 2, Geforce 3, Voodoo ส่วนชิพตัวเร่ง 3D ที่มีผู้ผลิตอีกหลายราย เช่น TNT, Banshee, Savageสำหรับการเลือกการ์ดแสดงผลใช้งานทั่วไปก็เลือกตัวเร่งที่มีราคาถูกลง ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกได้มาก โดยปกติก็ใช้ชิพตัวเร่ง รุ่นเดียวกับพวก 3D เกมได้ แต่การ์ดพวกนี้จะใช้ความเร็วสัญญาณนาฬิกาและหน่วยความจำน้อยกว่า ทำให้มีราคาแตกต่างกันมากการ์ดแสดงผลหลายรุ่นมีขีดความสามารถพิเศษ เช่น มีส่วนของการเชื่อมต่อเป็น TV-out เพื่อใช้สำหรับแสดงผล VCD และ DVD เพื่อให้ต่อกับ TV ได้โดยตรง โดยคอมพิวเตอร์จะทำตัวเป็นเครื่องเล่น DVD ให้ 6.5 จอภาพ Monitor เป็นอุปกรณ์แสดงผลที่มีชื่อเรียกมากมาย เช่น Monitor, CRT (Cathode Ray Tube) สามารถแบ่งได้หลายรูปแบบ เช่น แบ่งเป็นจอแบบตัวอักษร (Text) กับจอแบบกราฟิก (Graphic) โดยจอภาพแบบตัวอักษรจะมีหน่วยวัดเป็นจำนวนตัวอักษรต่อบรรทัด เช่น 80 ตัวอักษร 25 บรรทัด สำหรับจอภาพแบบกราฟิก จะมีหน่วยวัดเป็นจุด (Pixel) เช่น 640 pixel x 480 pixel
ลักษณะภายนอกของจอภาพก็คล้ายๆ กับจอโทรทัศน์นั่นเอง สิ่งที่แสดงออกทางจอภาพมีทั้งข้อความ ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว โดยรับข้อมูลจากการ์ดแสดงผล (Video Card, Video Adapter) ซึ่งเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ที่เสียบบนเมนบอร์ด ทำหน้าที่นำข้อมูลจากหน่วยประมวลผล มาแปลงเป็นสัญญาณภาพ แล้วส่งให้จอภาพแสดงผล
6.6 ชนิดของจอภาพ
จอภาพชนิด CRT
จอภาพชนิดนี้ มีหลักการทำงานคล้ายเครื่องรับโทรทัศน์ คือ ยิงลำอิเล็กตรอนไปกระทบกับสารเรืองแสง Phosphor ที่ ฉาบอยู่ที่ผิวจอภาพด้านในผ่าน "หน้ากาก" ซึ่งเป็นแผ่นโลหะมีรูอยู่ตามจุดของ Phosphor ทำให้เกิดแสงสีต่างๆ ขึ้นบนจอ ภาพตามแต่รูปแบบของสัญญาณภาพที่ส่งผ่านมาจาการ์ดแสดงผล ในท้องตลาดไปปัจจุบันยังคงนิยมใช้จอภาพชนิดนี้ เนื่องจากมีราคาถูก แต่มีข้อเสียคือ มีความหนา และน้ำหนัก มาก โดยหน้าจอจะมีความโค้งทำให้เกิดการสะท้อนของแสงมากทำให้ปวดตาได้ง่าย แต่โดยรุ่นใหม่ จะมีการออกแบบ ให้มี ความแบบ ราบมากขึ้นได้แก่จอภาพตระกูล Trinitron ของโซนี่ เป็นต้น ซึ่งจอภาพประเภทนี้ จะให้ภาพที่มี ความคม ชัดและสว่างมากกว่า เดิม
จอภาพชนิด LCD
จอภาพ LCD (Liquid Cystal isplay) เป็นจอภาพแบบแบนมีขนาดเล็กบางและน้ำหนักเบา มีหลักการทำงานคือ ภายในจะมีหลอดฟลูออเรสเซนต์ ทำหน้าที่ใช้แสงสว่างออกมาผ่านชั้นของผนึกเหลวที่เรียกว่า Liquid Crystal และผ่าน polarizer เพื่อให้แสงในแนวต่างๆ ผ่านมาตามการบิดตัวของแสงโดยผ่าน ฟิลเตอร์ สีอีกชั้นหนึ่ง ทำให้เกิดเป็นจุดสีแดงต่อ ้ เนื่องกัน ออกมาเป็นภาพสีบนหน้าจอ สำหรับจอ LCD ในปัจจุบันมักเป็น แบบ TFT (Thin-Film Transistor) เพราะจะให้ภาพที่มีความสว่างสีสันสด ใส และคมชัดกว่าจอ LCD แบบ STN แต่เดิมจอภาพชนิดนี้จะมีใช้เฉพาะในเครื่องโน๊ตบุ๊ค แต่ปัจจุบันเริ่มมีใช้กันในเครื่อง แบบตั้งโต๊ะกันแล้ว โดยมีขนาดใหญ่ถึง 22" สำหรับเครื่องโน๊ตบุ๊คจะมีขนาดใหญ่สุดประมาณ 16" ในท้องตลาดไปปัจจุบันยังคงนิยมใช้จอภาพชนิดนี้ เนื่องจากมีราคาถูก แต่มีข้อเสียคือ มีความหนาและน้ำหนักมาก โดยหน้าจอจะมีความโค้งทำให้เกิดการสะท้อนของแสงมากทำให้ปวดตาได้ง่าย แต่โดยรุ่นใหม่จะมีการออกแบบให้มีความแบบ ราบมากขึ้นได้แก่จอภาพตระกูล Trinitron ของโซนี่ เป็นต้น ซึ่งจอภาพประเภทนี้จะให้ภาพที่มีความคมชัดและสว่างมากกว่า เดิม
6.6.1 จอภาพแบบซีอาร์ที
การแสดงผลจากการ์ดแสดงผลต่อเชื่อมสัญญาณมาที่จอภาพ ดังนั้นจึงควรที่จะต้องทำความรู้จักกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับจอภาพด้วย จอภาพแบบซีอาร์ทียังเป็นจอที่มีการใช้งานกันมาก เพราะมีราคาถูกเมื่อเทียบกับจอภาพที่ใช้เทคโนโลยีแบบอื่น เช่น แอลซีดี คุณลักษณะของจอภาพแสดงผลที่น่าสนใจประกอบด้วยหลอดภาพ หลอดภาพเป็นหลอดแก้วขนาดใหญ่ ภายในฉาบสารเรืองแสงที่เมื่อลำอิเล็กตรอนตกกระทบจะมีแสงเรืองตามสีปรากฏให้เห็น ดังนั้นในหลอดภาพจึงมีส่วนของปืนอิเล็กตรอน ซึ่งมีสามลำตามสีที่ต้องการให้แสดงผลคือ สีแดง เขียว และฟ้า การที่อิเล็กตรอนวิ่งมาชนจอภาพได้ต้องใช้แรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำสูงมาก โดยทั่วไปจะมีค่าสูงกว่า 20,000 โวลต์จอแบนหรือจอโค้ง อิเล็กตรอนต้องกวาดเรียงเป็นเส้นตามแบนราบ ดังนั้นการบังคับจุดโฟกัสของอิเล็กตรอนให้มาที่หน้าจอเพื่อจะได้จุดสีจุดเล็ก ๆ จึงจำเป็นต้องให้จอมีส่วนโค้งเล็กน้อย แต่ด้วยเทคโนโลยีของการควบคุมลำอิเล็กตรอนที่ดีขึ้น กับการขยายส่วนลึกของตัวจอภาพให้มากขึ้นจึงทำให้หน้าจอแสดงผลแบบราบได้มากขึ้น จอแสดงผลแบบแบนจะให้สัดส่วนของภาพที่ปรากฏบนจอภาพได้ดีกว่า และเป็นที่นิยมในปัจจุบัน แต่ก็มีราคาเพิ่มขึ้น
6.6.2 จอภาพแบบแอลซีดี
เทคโนโลยีการแสดงผลด้วยแอลซีดีกำลังเป็นดาวรุ่ง แอลซีดีย่อมาจาก Liquid Crystal Display เป็นเทคโนโลยีที่ไม่ต้องใช้ลำอิเล็กตรอน แต่ใช้การแสดงผลจากลำแสงที่สะท้อนผ่านผลึกเหลวแอลซีดีได้รับการพัฒนามามีสองแนวทางคือ แบบ Passive Matrix และแบบ Active Matrix สำหรับแบบ Passive มีจุดอ่อนในเรื่องความเข้มของแสงที่มองเห็น และมุมมอง ปัจจุบันจึงนิยมหันมาทางด้าน Active Matrixแอกทีฟ แมทริกซ์ เป็นเทคโนโลยีที่ต้องใช้ทรานซิสเตอร์บนแผ่นฟิล์มบาง (Thin Film Transister - TFT) กล่าวคือ ต้องสร้างอะเรย์ของทรานซิสเตอร์ โดยทุก ๆ จุดแสดงผลจะมีทรานซิสเตอร์ตัวเล็ก ๆ ควบคุมอยู่ ทรานซิสเตอร์จะทำหน้าที่ควบคุมการแสดงผลในจุดนั้น ๆ ด้วยการทำงานของทรานซิสเตอร์ในการควบคุมการแสดงผล จึงทำให้การแสดงผลบนจอแอลซีดีทำงานได้รวดเร็ว และมีความคมชัดการสร้าง TFT ร่วมกับ LCD เป็นเทคโนโลยีที่มีกรรมวิธีที่ยุ่งยากและซับซ้อน ทำให้ขนาดของจอภาพที่ได้มีผลผลิตต่อการลงทุนยังสูง เพราะการที่จะทำให้ทรานซิสเตอร์บนแผ่นฟิล์มบาง ๆ ทำงานร่วมกันเป็นหลายแสนตัว โดยไม่เกิดการผิดพลาดเลยแม้แต่ตัวเดียว จึงเป็นเรื่องใหญ่ ราคาของแอลซีดีจึงมีราคาสูงเมื่อเทียบกับจอภาพซีอาร์ทีแต่ในปัจจุบันขบวนการผลิตจอภาพแอลซีดีได้รุดหน้าไปมาก ราคาของจอภาพแอลซีดีขนาด 15 นิ้ว ลดลงมามาก จนมีแนวโน้มที่จะแข่งขันกับจอซีอาร์ทีได้ จอแอลซีดีในขนาด 15 นิ้ว และแสดงผลได้ด้วยความละเอียด 1024x768 ด้วยความเร็วการรีเฟรชจอภาพ 75 ครั้งต่อวินาที มีราคาลดลงจนอยู่ในวิสัยที่ซื้อหามาใช้ได้แล้วจุดเด่นของจอแอลซีดีอยู่ที่การใช้กำลังงานไฟฟ้าต่ำ ใช้พื้นที่ติดตั้งจอภาพน้อย จึงเหมาะกับสภาพที่ ๆ คับแคบและต้องการจอแสดงผลคุณภาพดี
6.7 สัดส่วนของจอภาพ
ขนาดของจอภาพวัดกับด้วยเส้นทะแยงมุม โดยขนาดที่มีความนิยมและผู้ผลิตได้ผลิตออกจำหน่ายมีหลายขนาดตั้งแต่ 14 นิ้ว 15 นิ้ว 17 นิ้ว และ 21 นิ้ว อย่างไรก็ดีการแสดงผลบนจอภาพที่ปรากฏให้เห็นเมื่อวัดตามเส้นทะแยงมุมจะน้อยกว่าตัวเลขบอกขนาด โดยปกติขนาดของจอซีอาร์ทีขนาดต่าง ๆ
6.8 ขนาดของจุด (dot pitch)
|
Dot Pitch เป็นระยะห่างของจุดภาพบนจอภาพ มีหน่วยวัดเป็น mm ซึ่งจุดภาพแต่ละจุดบนจอภาพสีนั้น ประกอบด้วยจุดสี 3 จุด คือ สีแดง เขียว และน้ำเงิน (RGB) โดยจุดสีทั้งสามจะวางซ้อนเหลื่อมกัน ถ้าระยะห่างยิ่งมากเท่าใด ก็จะทำให้ภาพที่เกิดไม่ชัด และอาจจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้
ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ จะปรากฏขึ้นมาจาก การที่หลอดภาพยิงลำแสงอิเล็กตรอน ไปยังผิวหน้าด้านในของจอภาพ ซึ่งจะมี "สารฟอสเฟส" ฉาบเอาไว้ เมื่อสารนี้โดนแสง ก็จะถูกกระตุ้นให้เปล่งแสงออกมา จุดไหนที่โดนแสง ก็จะถูกกระตุ้นให้เปล่งแสงออกมาเป็นจุด ๆ ซึ่งจุดที่ว่านี้ก็คือ จุดที่แสดงผลขึ้นมาบนหน้าจอนั่นเอง จุดนี้จะมีชื่อเรียกว่า พิกเซล การที่จอภาพแสดงผลในโหมด 640 x 480 พิกเซก ก็คือการแสดงผลจุดในแนวนอน 640 จุด และแนวตั้ง 480 จุด
จอภาพนั้นมีความละเอียดสูง ปกติแล้วจอภาพขนาด 14 หรือ 15 นิ้วจะมีขนาดของด็อตพิตช์มาตรฐานที่ 0.28 มิลลิเมตร และในการเลือกซื้อจอภาพก็ไม่ความซื้อจอภาพที่มีด็อตพิตช์เกินกว่านี้ เพราะจะให้ภาพที่มีความละเอียดต่ำเกินไป
6.9 การพิจารณาเลือกซื้อจอภาพ
การเลือกซื้อจอภาพเกี่ยวข้องโดยตรงกับงบประมาณที่จะจัดซื้อ โดยถ้ามีงบมาก การเลือกซื้อจอแอลซีดีก็จะเป็นไปได้ แต่ถ้าต้องการจอภาพแบบซีอาร์ที และเป็นจอแบนราบที่มีขนาดใหญ่ เช่น 17-19 นิ้ว ก็จะมีราคาสูงขึ้นข้อพิจารณาขนาดของจอจึงขึ้นกับสภาพของงานที่ใช้ ถ้าใช้พิมพ์งาน ใช้อินเทอร์เน็ต อ่านอีเมล์ ก็ใช้จอ 15 นิ้วก็พอ แต่หากต้องใช้งานแสดงผลกราฟิกส์ความละเอียดสูงก็ต้องใช้จอภาพขนาด 17-19 นิ้ว ถ้าเป็นจอขนาด 17 นิ้ว ควรเลือกรุ่นที่สนับสนุนการแสดงผลความละเอียดสูงสุดคือ 1600x1200 จุด โดยมีอัตราการรีเฟรชอยู่ที่ 75 Hzโดยปกติต้องพิจารณาดูว่า จอภาพที่ต้องการระหว่างจอแบนราบกับจอโค้ง มีความต้องการอย่างไร จอแบนราบจะให้สัดส่วนของภาพได้ดีกว่า การดูจะสบายตา และเป็นจอที่น่าใช้มาก แต่ราคาก็จะสูงขึ้น จอภาพที่เลือกซื้อบางจอมีคุณสมบัติพิเศษที่ต่อเชื่อม USB กับจอภาพได้ ก็จะช่วยเพิ่มพอร์ต USB ให้ใช้งานได้มากขึ้น หรือสะดวกขึ้นจอภาพบางรุ่นมีลำโพงในตัว แต่โดยทั่วไปแล้วไม่จำเป็น เพราะการต่อลำโพงภายนอกจะมีความคล่องตัวกว่า และสามารถเลือกหาลำโพงที่มีคุณภาพดีมาใช้ได้ดีกว่าลำโพงที่ติดอยู่จอมอนิเตอร์ สรุป การ์ดแสดงผลสมัยเก่าทำหน้าที่แปลงข้อมูลดิจิทัลเป็นสัญญาณเท่านั้น แต่จากกระแสของการ์ดเร่งความเร็วสามมิติ ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 90 โดยบริษัท 3dfx และ nVidia ทำให้เทคโนโลยีด้านสามมิติพัฒนาไปมาก ปัจจุบันการ์ดแสดงผลสมัยใหม่ได้รวมความสามารถในการแสดงผลภาพสามมิติมาไว้เป็นมาตรฐาน และได้เรียกชื่อใหม่ว่า GPU (Graphic Processing Unit) โดยสามารถลดงานด้านการแสดงผลของของหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ได้มากในปัจจุบันการ์ดแสดงผลจำนวนมากไม่อยู่ในรูปของการ์ด แต่จะอยู่เป็นส่วนหนึ่งของแผงเมนบอร์ดซึ่งทำหน้าที่เดียวกัน วงจรแสดงผลเหล่านี้มักมีความสามารถด้านสามมิติค่อนข้างจำกัด แต่ก็เหมาะสมกับงานในสำนักงาน เล่นเว็บ อ่านอีเมล เป็นต้น สำหรับผู้ที่ต้องการความสามารถด้านสามมิติสูง ๆ เช่น ใช้เพื่อเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ยังอยู่ในรูปของการ์ดที่ต้องเสียบเพิ่มเพื่อให้ได้ภาพเคลื่อนไหวที่เป็นสามมิติที่สมจริง ในทางกลับกัน การใช้งานบางประเภท เช่น งานทางการแพทย์ กลับต้องการความสามารถการแสดงภาพสองมิติที่สูงแทนที่จะเป็นแบบสามมิติ
เดิมการ์ดแสดงผลแบบสามมิติอยู่แยกกันคนละการ์ดกับการ์ดแบบสองมิติและต้องมีการต่อสายเชื่อมถึงกัน เช่น การ์ด Voodoo ของบริษัท 3dfxซึ่งปัจจุบันไม่มีแล้ว ปัจจุบันการ์ดแสดงผลสามมิติมีความสามารถเกี่ยวกับการแสดงผลสองมิติในตัว |
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น